ขอต้อนรับสู่บ้านใหม่ของ BB ค่ะ

12 Nov

Welcome to WordPress.com. This is your first post. Edit or delete it and start blogging!

พระธาตุศรีสองรัก สัจจะไมตรีน้องพี่ลาว-ไทย

31 May
บันไดนาคเบื้องหน้าทอดตัวขึ้นสู่เนินเขาด้านบนที่ตั้งของ "พระธาตุศรีสองรัก" ซึ่งถือเป็นโบราณสถานที่สำคัญของจ.เลย ถือเป็นสัญลักษณ์และตราประจำจังหวัดด้วย พระธาตุองค์นี้ตั้งอยู่ในเขตอำเภอด่านซ้าย มีอายุกว่า 400 ปี เป็นสัญลักษณ์แทนความรักฉันท์น้องพี่ระหว่างดินแดนไทย-ลาว สร้างขึ้นในปี พ.ศ.2103 แล้วเสร็จในปี 2106 ในรัชสมัยสมเด็จพระมหาจักรพรรดิแห่งกรุงศรีอยุธยาและพระเจ้าไชยเชษฐา แห่งกรุงศรีสัตนาคนหุต (สี-สัด-ตะ-นา-คะ-นะ-หุด) เพื่อเป็นสักขีพยานในการทำสัญญาทางพระราชไมตรีแสดงความสัมพันธ์อันดีระหว่างกรุงศรีอยุธยาและกรุงศรีสัตนาคนหุต (เวียงจันทน์)ที่ได้ร่วมกันต่อสู้กองทัพพม่าของพระเจ้าตะเบงชเวตี้  พร้อมทั้งให้ถือเป็นด่านกั้นเขตแดนระหว่างสองพระนครในสมัยนั้น โดยทรงร่วมสร้างพระเจดีย์ขึ้น ณ ที่กึ่งกลางระหว่างแม่น้ำโขงกับแม่น้ำน่านบนโคกไม้ติดกัน


บันไดนาคบอกทางขึ้น-ลง


ก่อนจะเหยียบย่างบนบันไดนาค เราทุกคนพากันถอดรองเท้าพักไว้ด้านข้างตามป้ายกำกับ มีข้อห้ามพิเศษ 4 ประการที่ต้องถือปฏิบัติอย่างเคร่งครัดในการเข้าสักการะพระธาตุ ดังนี้

  1. ห้ามสวมใส่สีแดง งดดอกไม้หรือสิ่งของสีแดง (ผู้เขียนคิดว่าเนื่องจาก "สีแดง" เปรียบเสมือน "เลือด" อันหมายถึงสงครามหรือการสู้รบ
    ซึ่งกษัตริย์ทั้งสองแผ่นดินได้ทรงกระทำสัตยาธิษฐานต่อกันแล้วว่าจะไม่ล่วงล้ำดินแดนกัน
    ดังนั้นจักต้องไม่มีเลือดสักหยดหรือสัญลักษณ์ของเลือดบนผืนแผ่นดินอันเป็นสักขีพยานแห่งนี้ "สีแดง"
    จึงกลายเป็นสิ่งต้องห้ามไป)
  2. ห้ามกางร่ม (ผู้เขียนไม่ทราบเหตุผลจริงๆ)
  3. ห้ามนำอาหารหรือขนมขึ้นไปรับประทาน (ผู้เขียนคิดว่าเพื่อความเป็นระเบียบเรียบร้อยของสถานที่)
  4. ห้ามสวมรองเท้าขึ้นบนพระธาตุ (ผู้เขียนคิดว่าเพื่อให้เกียรติกับสถานที่)

บรรยากาศโดยรอบพระธาตุศรีสองรักช่างวิเวกดีเหลือเกิน สายลมด้านบนพัดเอื่อยๆไล่ใบไม้แห้งให้ปลิวไปตกลงบนขอบทางราวกับจะปัดเรือนชานต้อนรับแขก เราทรุดตัวลงนั่งบนพื้นหินอ่อนที่เย็นยะเยือกคลายไอระอุจากเท้าที่เหยียบย่างบนกระเบื้องปูพื้นตรงลานกว้าง หลังจากนั่งสงบจิตใจชั่วครู่ เราก็พร้อมใจกันกราบสักการะพระประธานและองค์พระธาตุศรีสองรัก

คำกล่าวบูชาพระธาตุศรีสองรัก

"นะโม
ตัสสะ ภะคะวะโต อะระหะโต สัมมา สัมพุท ธัสสะ
นะโม ตัสสะ ภะคะวะโต
อะระหะโต สัมมา สัมพุท ธัสสะ
นะโม ตัสสะ ภะคะวะโต อะระหะโต สัมมา สัมพุท
ธัสสะ

นะคะโลเก เทวะโลเก ชมพูทิเป ตาวะติงเส
ชินนะธาตุโย
อรหันตา นะมามิ

นะคะโลเก เทวะโลเก ชมพูทิเป ตาวะติงเส
ชินนะธาตุโย อรหันตา นะมามิ

นะคะโลเก เทวะโลเก ชมพูทิเป ตาวะติงเส

ชินนะธาตุโย อรหันตา นะมามิ"

เราก้มลงกราบเบญจางคประดิษฐ์พร้อมกันก่อนที่จะลุกเดินออกมาชมความงามขององค์พระธาตุ เบื้องหน้าของเรา คือ องค์พระธาตุสีขาวลักษณะคล้ายพระธาตุพนม เป็นพระเจดีย์ที่ก่อด้วยอิฐถือปูน มีฐานเป็นรูปสี่เหลี่ยมจัตุรัสย่อมุมไม้สิบสอง กว้างด้านละ 8 เมตร สูง 32 เมตร องค์ระฆังทรงบัวเหลี่ยม บนยอดพระธาตุมีลูกแก้วและกระดิ่งเล็กๆแขวนโดยรอบ ด้วยกาลเวลากว่า 400 ปี ทำให้สามารถสังเกตุถึงความเอนขององค์พระธาตุอย่างเห็นได้ชัด แต่ความสง่างามยังคงอยู่เหมือนเดิม


พระธาตุศรีสองรัก

ตรงฐานพระธาตุมีต้นผึ้ง หรือ ต้นดอกเผิ่ง (ในภาษาอีสาน) ทำจากโครงไม้ไผ่กรุด้วยกาบกล้วยประดับแผ่นเทียนและดอกไม้อย่างสวยงาม วางอยู่จำนวนหนึ่งเดาได้ว่าต้องเป็นของถวายแก้บน เพราะชาวอำเภอด่านซ้ายและชาวเลยจะนำต้นผึ้งมาถวายองค์พระธาตุเป็นพุทธบูชาในวันเพ็ญเดือนหก (วันวิสาขบูชา) ของทุกปีเท่านั้นเนื่องจากมีการทำพิธีสมโภชและนมัสการองค์พระเจดีย์ในวันดังกล่าว  หากพบเห็นต้นผึ้งในช่วงอื่นๆของปีมักจะเป็นของถวายแก้บนเพราะผู้คนแถบนี้รวมถึงฝั่งลาวมีความศรัทธาและให้ความเคารพสักการะพระธาตุศรีสองรักเป็นอย่างยิ่ง

ต้นผึ้งหรือต้นดอกเผิ่ง (ในภาษาอีสาน)

เชื่อกันว่าหากผู้ใดได้มาขอพรพระธาตุแห่งสัจจะไมตรีของสองอาณาจักร จะทำให้ความรักและสัมพันธภาพนั้นยั่งยืนสืบไป แต่นอกเหนือจากบารมีแห่งองค์พระธาตุศรีสองรักแล้ว ความรักและสัมพันธภาพจะยืนยงได้ก็ด้วยการยึดมั่นในคุณงามความดี ถือสัจจะเป็นที่มั่น และความรักนี้ขยายวงกว้างไปถึงความรักผู้คนร่วมชุมชน รักชาติบ้านเมือง หากที่ใดมีรักและไมตรีจิตแล้ว ที่นั่นย่อมมีแต่สุขและสันติ


***อ่านเรื่องราว บันทึกรับลมร้อน ตะลอนเที่ยวเพชรบูรณ์-เลย
(คลิ้กจากหัวข้อด้านล่าง)

มองเมียง เชียงคาน (ไปแล้ว รัก”เลย”)

30 May
ย่างเข้าเดือนมีนาคมลมร้อนก็เริ่มระรานไปทั่วทุกหย่อมหญ้า
ถึงแม้ร้อนกายหากแต่เย็นใจเราย่อมแสวงหาความสุขได้เสมอ ปีนี้ลมร้อนหอบเราไปไกลถึงภาคเหนือตอนล่างที่ตั้งของ จ.เพชรบูรณ์ ดินแดนที่อยู่สูงกว่าระดับน้ำทะเลประมาณ 114 เมตร หากเป็นช่วงหน้าหนาวแดนดินถิ่นนี้จะคลาคล่ำไปด้วยผู้คนต่างถิ่นที่หลั่งไหลมาท้าทายสายลมหนาวบนยอดเขา



แต่ช้าก่อนการแข่งขันกรีฑาในการแข่งขันกีฬาเยาวชนครั้งที่ 26 "มะขามหวานเกมส์" ยังไม่เริ่มขึ้น เราจึงตกลงกันว่าจะไปลองมองเมียงเชียงคาน สถานที่ท่องเที่ยวที่กำลังมาแรงในช่วงนี้ ใครๆต่างพากันพูดถึงเสน่ห์เรียบง่ายในแบบฉบับเชียงคาน  วิถีชีวิตชุมชนริมฝั่งแม่น้ำโขงสุดเขตแดนไทย ใช่แล้ว เรากำลังเดินทางไปเลย จังหวัดในเขตอีสานเหนือ แหล่งท่องเที่ยวในฝันของใครหลายคน




เคยได้ยินคำพูดว่า "ช้างเผือกอยู่ในป่า"ไหม เรากำลังดั้นด้นไต่ระดับความสูงลัดเลาะไหล่เขาโค้งแล้วโค้งเล่า ดีที่บรรยากาศข้างทางเพลิดเพลินเจริญตาจึงช่วยผ่อนคลายความวิงเวียนไปได้โข จนในที่สุดเราก็พบกับช้างเผือกในป่า "เชียงคาน" เมืองโบราณที่โดนใจคนสมัยใหม่ เพิ่งจะฉลองวันเกิดครบ 100 ปีไปเมื่อ 4-6 ธันวาคม 2552 เปรียบเหมือนคุณทวดที่ยังคงความงามในแบบฉบับของตัวเอง มีมุมมองชีวิตที่คนรุ่นใหม่อยากเก็บเกี่ยวข้อมูลเพื่อเติมเต็มประสบการณ์ชีวิต มีความงดงามทางวัฒนธรรมและวิถีชีวิตชุมชนที่เรียบง่ายจนกลายเป็นเสน่ห์เฉพาะตัว

ถนนที่นี่เป็นถนนเส้นเล็กๆ ผู้คนใช้จักรยานเป็นพาหนะ เป็นชุมชนที่เต็มไปด้วยรอยยิ้มและไมตรีจิต บ้านเรือนสองฟากถนนเป็นบ้านไม้เก่าๆ ประตูบ้านเป็นบานเฟี้ยมเปิดออกได้กว้างเท่ากับความกว้างของหน้าบ้าน กว้างราวกับจิตใจของชาวชุมชนที่พร้อมจะเปิดมอบไมตรีให้กับผู้มาเยือน เพียงแรกพบก็ตกหลุมรัก "เชียงคาน" เสียแล้ว






บ้านไม้เก่ากับบานเฟี้ยมเอกลักษณ์เชียงคาน

ในอดีตเชียงคานเคยเป็นเมืองหลวงของประเทศลาว พระเจ้ากรุงธนบุรีได้ยกทัพไปตีเวียงจันทน์และได้อัญเชิญพระแก้วมรกตกลับมาประดิษฐานยังกรุงธนบุรี อีกทั้งยังกวาดต้อนผู้คนมาตั้งบ้านเรือนอยู่ริมฝั่งแม่น้ำโขง ต่อมาไทยได้เสียดินแดนฝั่งขวาแม่น้ำโขงให้กับฝรั่งเศส คนไทยจึงได้อพยพมาอยู่ที่อำเภอเชียงคานปัจจุบันนับแต่นั้นมา วิถีชีวิตของผู้คนที่นี่คล้ายคลึงและผูกพันกับลาวซึ่งถือเป็นบ้านพี่เมืองน้อง ยามเช้าชาวเมืองเชียงคานต้อนรับวันใหม่ด้วยการใส่บาตรข้าวเหนียวซึ่งเป็นธรรมเนียมปฏิบัติมานับร้อยปี



ริมฝั่งลำน้ำโขง

เรามาถึงเชียงคานตอนบ่ายคล้อย ท้องน้อยๆก็เริ่มร้องระงม ตอนแรกจะแวะร้าน "เฮือนหลวงพระบาง" แต่ไม่มีที่จอดรถเลยตัดสินใจจอดป้ายที่ร้าน "ระเบียงริมโขง" ที่ขึ้นชื่อไม่แพ้กัน บรรยากาศร้านริมน้ำช่วยคลายความร้อนระอุยามบ่ายลงได้เยอะ ร้านนี้เจ้าของร้านลงมือปรุงเองโดยใช้ปลาสดๆจากแม่น้ำโขง อาหารที่สั่งรสชาติถูกปากทุกจาน แต่น่าเสียดายที่ไม่ได้ลิ้มลองอาหารรสจัดของที่นี่เพราะกลัวสองสาวนักวิ่งจะไม่สบายท้อง เหตุเนื่องจากครั้งนี้มาแข่งในฐานะตัวแทนจังหวัด เราจึงจำต้องตัดรายการชวนชิมริมทางออกไป

ร้าน "ระเบียงริมโขง"
จานเด็ด คือ เมนูปลาคัง

"ข้าวปุ้นน้ำแจ่ว" อาหารพื้นเมืองเชียงคานก็เป็นอีกหนึ่งรายการที่เราพลาดชิมด้วยเวลาที่ไม่อำนวยเพราะต้องขับกลับไปเพชรบูรณ์เพื่อให้สองสาวได้ซ้อมวิ่งกับทีมในช่วงเย็น ข้าวปุ้นน้ำแจ่ว เป็นภาษาอีสานหมายถึง ขนมจีนน้ำใส สูตรเด็ดจากลาว ต่างจากขนมจีนน้ำยาตรงที่ใช้เครื่องในหมูต้มสุกรับประทานกับน้ำซุปใส รสชาติจัดจ้านแตกต่างกันไปตามสูตรเด็ดของแต่ละร้าน เล่าได้อย่างกับชิมเองเพราะสาวน้อยเชียงคานเจ้าของร้านขายเสื้อยืดสาธยายให้ฟังจนน้ำลายสอ  โอกาสหน้าหากได้มาเยือนเชียงคาน รับรองจะไม่ยอมพลาดชิม "ข้าวปุ้นน้ำแจ่ว"  ครั้งนี้เพียงได้แค่มามองเมียงเมืองเชียงคาน ก็หลงเสน่ห์เข้าอย่างจัง หากมีโอกาสจะต้องกลับมาเติมเต็มส่วนที่ขาดหายให้ครบ ณ วินาทีนี้ฉันบอกได้เพียงว่า ไปแล้ว รัก"เลย"


ถ่ายภาพเคียงกันที่เชียงคาน

***อ่านเรื่องราว บันทึกรับลมร้อน ตะลอนเที่ยวเพชรบูรณ์-เลย
(คลิ้กจากหัวข้อด้านล่าง)

ชมลำแสงสีทอง ส่องศรัทธาแห่งธรรม ที่วัดถ้ำเขาหลวง

30 May
แดดบ่ายยังคงสาดแสงจ้านำทางเราไปยังวัดถ้ำเขาหลวง พุทธสถานที่มีเรื่องราวความเป็นมาน่าสนใจ ตั้งอยู่บนภูเขาขนาดเล็กซึ่งเป็นที่รู้จักในนาม "เขาหลวง" มีความสูงจนถึงยอดเพียง 92 เมตร เราจอดรถไว้ตรงลานกว้างที่มีฝูงลิงมาห้อมล้อมรออาหาร คนนำทางกำชับให้เราเช่าตุ๊กตาจระเข้มาวางบนหลังคารถกันไม่ให้ลิงป่ายปีน "ตุ๊กตาจระเข้นี่นะ พี่" เราถามย้ำอย่างไม่เชื่อหูตัวเอง หนุ่มคนเดิมพยักหน้าหงึกๆเป็นเชิงยืนยันแถมยังชี้นิ้วให้ดูรถคันก่อนๆหน้าที่มีจระเข้ยามนอนเกาะแน่นิ่งบนหลังคารถแต่แอบแยกเขี้ยวยิงฟันข่มขวัญขบวนการจ๋อ

ถึงจะเป็นรถเช่าเราก็ไม่อยากให้เป็นรอย

จากนั้นพวกเราเดินเลาะไปตามบันไดคอนกรีตที่พาดขึ้นเนินก่อนจะลาดลงสู่ปากถ้ำเบื้องหน้า ฉันรู้สึกได้ในทันทีถึงความสงบเย็นที่ปะทะผิวเมื่อขบวนของเรามาถึงปากถ้ำ ภายในถ้ำดูคล้ายห้องโถงขนาดใหญ่ แบ่งเป็น 3 คูหา คูหาแรกเป็นที่ประดิษฐานพระประธานและรอยพระพุทธบาทจำลอง
คูหาที่สองและสามเป็นที่ประดิษฐานพระพุทธรูปปางต่างๆจำนวนมากและหลากหลายขนาด มีแสงสว่างจากภายนอกส่องผ่านช่องเพดานถ้ำลงมา ทำให้อากาศภายในเย็นสบาย ไม่อับชื้นเหมือนถ้ำทั่วๆไป


บันไดสู่ถ้ำเขาหลวง

แบมแบลหน้าปากทางลงถ้ำ

แสงส่องตรงรอยพระพุทธบาทจำลอง

บรรยากาศภายในถ้ำเขาหลวง

ด้วยบรรยากาศที่สงบเย็นและวิเวกเช่นนี้จึงไม่น่าแปลกใจเลยที่พระบาทสมเด็จฯพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว (รัชกาลที่4) ขณะทรงผนวชจะเสด็จประพาสมาจำพรรษา ณ วัดถ้ำเขาหลวงแห่งนี้ อีกทั้งได้ทรงโปรดเกล้าฯให้บูรณะพระพุทธรูปต่างๆและสร้างพระพุทธรูปปางปรินิพพานประดิษฐานภายในวัดถ้ำเขาหลวงเพื่อเป็นเครื่องระลึกถึงการเสด็จดับขันธปรินิพพานของพระพุทธเจ้า ณ เมืองกุสินารา ในวันเพ็ญเดือนหก (วันวิสาขบูชา) ซึ่งปางปรินิพพานมีพุทธลักษณ์บรรทม(นอน) ตะแคงขวา พระเศียร(ศีรษะ)หนุนอยู่บนพระเขนย(หมอน) พระหัตถ์(มือ)ซ้ายทอดยาวไป ตามพระวรกาย พระหัตถ์ขวาวางหงายหนุนพระเขนย พระบาท(เท้า)ซ้ายซ้อนอยู่บนพระบาทขวา พุทธลักษณ์จะใกล้เคียงกับปางพุทธไสยาสน์ จะต่างกันก็เพียงปางพุทธไสยาสน์นั้นพระหัตถ์ขวาทรงชันพระเศียรตั้งขึ้น


พระพุทธรูปปางปรินิพพาน


ขอบคุณช่างภาพชาวเพชรบุรี
เจ้าของ
ภาพถ่ายที่ถ่ายทอดความงามของวัดถ้ำเขาหลวง

วิทยากรในพื้นที่เล่าให้ฟังว่าเป็นเรื่องที่น่าอัศจรรย์อย่างยิ่งเมื่อเวลาฝนตก น้ำฝนที่ตกลงถึงพื้นถ้ำเบื้องล่างจะไม่เคยท่วมพื้นถ้ำหากแต่จะกำจัดวงอยู่เพียงบริเวณพื้น ที่อยู่ตรงใต้ช่องเพดานถ้ำเท่านั้น เมื่อฝนหยุดตกสักครู่หนึ่งน้ำก็จะค่อยๆเหือดแห้งไปเอง ดูเหมือนว่าธรรมชาติจะคอยจัดแจงแต่งแต้มดูแลรักษาบริเวณถ้ำเขาหลวงให้คงสภาพข้ามกาลเวลา ลำแสงสีทองที่สาดส่องเข้ามาในตัวถ้ำไปทางองค์พระปฎิมานั้นดูราวกับศรัทธาแห่งธรรมอันแรงกล้าของเหล่าพุทธศาสนิกชนที่มีต่อพระพุทธศาสนา ไม่ว่าวันคืนจะหมุนเวียนเปลี่ยนผันไปอีกสักเท่าไหร่ ศรัทธาแห่งธรรมจะยังคงส่องนำจิตใจไม่เว้นวาย

***อ่านเรื่องราว บันทึกกลางสายลมหนาว เล่าเรื่องเมืองเพชรบุรี (คลิ้กจากหัวข้อด้านล่าง)

ชมรมกรีฑาภูเก็ต/ Phuket Athletics Club

28 May

ชมรมกรีฑาภูเก็ต

Phuket Athletics Club


ข่าวคราวความเคลื่อนไหวของนักกรีฑาภูเก็ต

@ขอแสดงความยินดีกับนายคันธสิทธิ์ ตันติปุษปรรฆ์และนายเอกชัย ทองขจร พี่ใหญ่ในทีมกรีฑาภูเก็ตที่สามารถเข้าศึกษาต่อในคณะครุศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ขอให้นิสิตใหม่รั้วจามจุรีสีชมพูแบ่งเวลาเรียนและฝึกซ้อมวิ่งให้เต็มที่นะคะ "กีฬามหาวิทยาลัยโลก" รอคุณอยู่



คันธสิทธิ์(ซ้าย) เอกชัย(ขวา)

@กีฬาเยาวชนแห่งชาติ ครั้งที่ 26 "มะขามหวานเกมส์" จ.เพชรบูรณ์เมื่อมีนาคมที่ผ่านมา นักกรีฑาเยาวชนคว้าเหรียญกลับบ้าน 3เหรียญ 1 เหรียญทองจากนายประเสริฐ เดชแก้ว กระโดดสูงชาย สถิติ 1.95 เมตร 2 เหรียญทองแดงจาก น.ส.ธนาภรณ์ จันทร์อ่อน เขย่งก้าวกระโดดหญิง สถิติ 11.62 เมตรและ ด.ญ.ธนัชญา อุปัติศฤงค์ วิ่ง 800 เมตรหญิง สถิติ 2.23.80 นาที


ธนัชญา(ซ้าย)/ ธนาภรณ์(ขวา)

นอกจากนั้นในปีนี้ทีมกรีฑาภูเก็ตยังสามารถก้าวเข้าไปยังรอบชิงชนะเลิศและเข้าเส้นชัยเป็นอันดับที่ 4 ทั้งทีมลมกรด 4×100 เมตรชาย(สันติสุข ทั่งกลาง/พรเทพ ณ นคร/สาธิต ปานนิล/สุรชัย เส้งตัน)และทีม 3×800
เมตรหญิง(น.ส.ชญาดา จุโลภาส/ด.ญ.ธัญนุช อุปัติศฤงค์/ด.ญ.ธนัชญา อุปัติศฤงค์)


ทีมวิ่งผลัด 4×100 เมตร ชาย

ทีมวิ่งผลัด 3×800 เมตรหญิง


ทีมกรีฑาภูเก็ตขอขอบพระคุณนายกสมาคมกีฬาจ.ภูเก็ตและผู้ใหญ่ทุกท่านที่จัดเลี้ยงนักกีฬาขณะไปแข่งขันที่ จ.เพชรบูรณ์และกรุณามานั่งชมเป็นกำลังใจถึงขอบสนาม หากผู้ใหญ่ในจังหวัดให้การสนับสนุนอย่างเต็มที่เช่นนี้โอกาสที่ทีมกรีฑาเยาวชนภูเก็ตจะสามารถพัฒนาฝีเท้าและคว้าเหรียญสร้างชื่อเสียงให้กับภูเก็ตก็เป็นไปได้อย่างมากเช่นเดียวกัน ฝากทีมกรีฑาภูเก็ตไว้ด้วยนะคะ

สยามรันนิ่งลงภาพฝาแฝดกรีฑา จ.ภูเก็ต

26 May

Siam Running Magazine นิตยสารวิ่งที่บรรดานักวิ่งไม่ควรพลาด ภายในเล่มอัดแน่นไปด้วยทุกภาพข่าวจากการแข่งขันวิ่งทั้งในสนามและบนพื้นถนน ตลอดจนสาระน่ารู้สำหรับนักวิ่ง รวมทั้งโปรแกรมการแข่งขันวิ่งฟันรัน/ มินิ-มาราธอน/ ฮาล์ฟ-มาราธอนและมาราธอนทุกรายการภายในประเทศ


สำหรับฉบับล่าสุดเดือนพฤษภาคม 2553 แบมแบลได้รับเกียรติลงภาพในคอลัมน์ "เก็บตกขอบสนาม" หน้า 23 พร้อมกับเพื่อนๆและพี่ๆนักวิ่ง ซึ่งเป็นภาพเก็บตกจากบรรยากาศการแข่งขันกีฬาเยาวชน ครั้งที่ 26 "มะขามหวานเกมส์" ที่ จ.เพชรบูรณ์ ขอขอบพระคุณพี่นักข่าวกีฬาที่ช่วยสนับสนุนนักวิ่งหน้าใหม่นะคะ เราจะพยายามอย่างเต็มที่เพื่อชื่อเสียงของจังหวัดภูเก็ต และทีมกรีฑาภูเก็ตค่ะ

Update ของใช้ในโครงการ “ของใช้มีไว้แบ่งปัน”

9 May

List of Charity Items


Posted on 6/3/2010

Posted on 9/5/2010

Posted on 26/5/2010

SAMSONITE Backpack

Wrist Watch

SAMSONITE Backpack

Condition: 90%

Condition: new

Condition: 90%

Donated on 26/5/2010

 พัชรภรณ์ หงษ์ทอง โปรดติดต่อกลับทางอีเมลที่เราส่งไปให้ด้วยค่ะ

 

Receiver: Papimon Poom-ngarm

 

 

รายการสิ่งของในโครงการ "ของใช้มีไว้แบ่งปัน"
กระเป๋าเป้ Samsonite สีเทาใส่หนังสือและเครื่องเขียนได้อย่างเป็นระเบียบ


ช่วงนี้โรงเรียนไทยกำลังทยอยเปิดภาคเรียนกันแล้ว พอดีมีนาฬิกาใหม่อยู่ 1 เรือนได้แถมมา เก็บไว้ก็คงไม่ได้ใช้ เลยอยากแบ่งปันให้กับคนที่ต้องการ

กระเป๋าเป้ Samsonite อีกใบ(สีน้ำเงิน) ใส่หนังสือและเครื่องเขียนได้อย่างเป็นระเบียบ

หากใครต้องการสิ่งของอื่นใดที่เราสามารถจัดหาให้ได้เราก็ยินดีส่งต่อให้ค่ะ
(แต่สิ่งของนั้นอาจจะไม่ใช่ของใหม่เสมอไปนะคะ
เราจะพยายามจัดหาของที่มีสภาพค่อนข้างดีให้ค่ะ)

เพียงแค่ทำตามกติกาง่ายๆที่แจ้งไว้ใน คอลัมน์ "ของใช้มีไว้แบ่งปัน" โดยฝากข้อความไว้ใน BB’s Guestbookนะคะ
เราหวังว่าผู้ที่ขอสิ่งของมาจะได้นำไปใช้ประโยชน์จริงๆ
เพื่อช่วยแบ่งเบาภาระผู้ปกครอง

ครัวคุณย่า…หาดเจ้าสำราญ ทุกจาน…อร่อยเด็ด

9 Mar

มุมถ่ายภาพที่ระลึก

บรรยากาศวันแรกของสัปดาห์หลังจากที่ผู้คนใช้เวลาสนุกสนานสำราญใจหมดไปกับวันหยุดจะดูเงียบเหงาไปแทบทุกที่ เด็กนักเรียนต่างก็กำลังเรียนหนังสือ พวกเรากำลังใช้เวลาว่างก่อนที่การแข่งขันจะเริ่มต้นในวันรุ่งขึ้นให้หมดไปกับการเที่ยวชมสถานที่ต่างๆในเพชรบุรี เก็บเกี่ยวความทรงจำดีๆเอามาเขียนบันทึกการเดินทาง หลังจากหัวใจเบิกบานกับความงามที่สงบเงียบของหาดเจ้าสำราญแล้ว ท้องไส้ก็เริ่มส่งเสียงประท้วงอยากจะเบิกบานเหมือนอย่างหัวใจบ้าง เราจึงตรงมายังหาดเจ้าสำราญ บีช รีสอร์ท โรงแรมริมหาดที่มีทรายขาวละเอียดปูเป็นพรมธรรมชาติทอดนำเราไปสู่อ้อมกอดทะลสีคราม

ครัวคุณย่า ร้านอาหารของโรงแรมเป็นหนึ่งในร้านอาหารขึ้นชื่อของหาดเจ้าสำราญ วันนี้เราเป็นลูกค้ารายแรกที่มาเยือนในมื้อกลางวัน โต๊ะอาหารหลายสิบโต๊ะเต็มแน่นในช่วงสุดสัปดาห์ วันนี้ถือว่าเป็นโชคดีของเราอีกครั้งหนึ่งที่ได้ทานมื้อกลางวันใต้ร่มเงาระแนงไม้ไผ่พร้อมดื่มด่ำบรรยากาศหาดทรายอันเงียบสงบและรับลมทะเลราวกับเป็นโลกส่วนตัว





บรรยากาศโล่งโปร่งสบายที่ร้านครัวคุณย่า

สักครู่หนึ่งเมนูอาหารที่สั่งก็ทยอยเรียงแถวออกมาจากห้องครัว หนูแบมจัดแจงตักแบ่งต้มยำทะเลรวมมิตรให้กับทุกคน ปลากระพงขาวเนื้อนุ่มนอนอุ่นอยู่ในปากพอดีคำ ตามมาด้วยกุ้งสดหวานและปลาหมึกเนื้อแน่น ก่อนที่น้ำต้มยำรสจัดจ้านหอมกลิ่นน้ำพริกเผาจะกวาดเนื้อสดๆของสามสหายให้ลื่นไหลลงท้อง

ฉันเปิดฝาเมนูโปรดของสองสาว "กุ้งอบวุ้นเส้น" กลิ่นขิงและพริกไทยหอมลอยออกมาพร้อมกับควันร้อนฉุย กุ้งทะเลสีส้มสดนอนอวดตัวเบียดกันอยู่ในหม้อเหล็ก วุ้นเส้นใสเคลือบสีชาของซีอิ๊วนอนเส้นอ่อนระทวยรองอยู่ที่ก้นหม้อ ชายหนุ่มคนเดียวในกลุ่มเราไม่รอช้ารูดเส้นนิ่มๆเข้าปากคำโต แล้วฉันจะนั่งมองอยู่ไย รีบแกะเนื้อกุ้งสีขาวลิ้มรสความสดหวานเคล้ากับความนุ่มลิ้นของวุ้นเส้นรสกลมกล่อม อร่อยหอมเครื่องเทศกรุ่นในลำคอ


ต้มยำรวมมิตรทะเลและกุ้งอบวุ้นเส้น

ยำยอดหญ้าและหมึกราชนาวี

ปลากระพงเจ้าสำราญ

จานถัดมา คือ ยำยอดหญ้า ที่ชวนให้สงสัยว่าจะเอายอดหญ้าอะไรมายำ เมื่อมาอวดโฉมบนโต๊ะอาหารเลยถึงบางอ้อว่าแม่ครัวใช้ใบคะน้ามาหั่นฝอยทอดให้กรอบ แล้วหยิบเนื้อกุ้งและปลาหมึกมาคลุกเคล้ากับน้ำยำ ผสมโรงด้วยเห็ดหูหนูขาว หอมซอย หอมใหญ่ ต้นหอมและขึ้นฉ่าย พืชผักสมุนไพรที่กรุบกรอบและหอมแรง รสน้ำยำจัดถึงใจบวกกับความกรุบกรอบของยอดหญ้าจำแลงและกลิ่นหอมแรงของเครื่องเคียงแล้ว ถือได้ว่าสอบผ่าน

อีกหนึ่งเมนูเด็ดของที่นี่ คือ หมึกราชนาวี เป็นเมนูปลาหมึกสดเนื้อสีขาวราวกับสวมชุดทหารเรือนอนคลุกเคล้าเครื่องเคียงอย่างพริกหวานสีเหลืองแซมด้วยสีเขียวของต้นหอม ผัดให้เข้ากันด้วยซอสมะเขือเทศ หมึกราชนาวีจานนี้จึงมีรสเปรี้ยวหวานนำ เป็นจานที่ช่วยคลายความจัดจ้านของยำยอดหญ้าลงได้อย่างมาก

ปิดท้ายรายการด้วยพระเอกของร้าน "ปลากระพงเจ้าสำราญ" ที่เต็มไปด้วยมิตรสหายมาร่วมขบวนการสร้างความสำราญอร่อยลิ้น อาทิ บ๊วยแดงเชื่อม พุทราจีนเชื่อม สับปะรด แครอท พริกไทยอ่อน พริกหยวกสีเขียว พริกทอด เม็ดมะม่วงหิมพานต์ หลากสีสันหลากรสชาติหลากอารมณ์สรวลเสเฮฮาผสานเป็นหนึ่งเดียวกับเนื้อปลากระพงทอดกรอบด้วยรสมือสูตรเด็ดจากครัวคุณย่า



อิ่มอร่อยกับเมนูที่สั่งจนเกลี้ยงจานแล้ว เราก็พากันเดินทอดน่องกินลมชมวิวทะเลละแวกนั้น แดดยามเที่ยงวันคล้อยบ่ายช่างจัดจ้าแต่ลมทะเลก็ยังขยันพัดมาหยอกเย้าทักทายเราอยู่ตลอด ฉันมองดูเจ้าลิงแสนซนทั้งคู่พากันวิ่งไล่และถลาไปหาเครื่องเล่นราวกับเด็กเล็ก ภาพวันวานที่ทั้งสองยังเดินเตาะแตะมีอาม่ายืนยิ้มลุ้นให้สองหนูน้อยเดินไปให้ถึงเครื่องเล่นฉายวาบมาซ้อนทับกับภาพในปัจจุบัน ถึงแม้วันนี้อาม่าจะไม่ได้มาร่วมเชียร์หลานสาวถึงขอบสนาม แต่ฉันก็รู้ดีว่าสายตาที่อาม่าส่งมาให้พวกเราตอนไปกราบเท้าที่เตียงก่อนเดินทางนั้นเต็มไปด้วยกำลังใจอย่างเต็มเปี่ยมและความเมตตาอย่างเหลือล้น ฉันขอฝากสายลมแห่งอ่าวไทยพัดพาความสุข ความทรงจำดีๆเหล่านี้ไปให้ถึงฝั่งอันดามัน และไม่ว่าผลการแข่งขันจะเป็นเช่นไร มือข้างขวาที่ขยับได้เพียงข้างเดียวของอาม่าก็พร้อมจะโบกไปมาเป็นสัญลักษณ์แทนการปรบมือแสดงความภาคภูมิใจในตัวหลานสาวของท่านอยู่เสมอ



เดินชมวิวที่พักหลังอิ่มท้อง

ภูมิใจนำเสนอภาพถ่ายฝีมือแบล

***อ่านเรื่องราว บันทึกกลางสายลมหนาว เล่าเรื่องเมืองเพชรบุรี (คลิ้กจากหัวข้อด้านล่าง)

หัวใจเบิกบานริมหาดเจ้าสำราญ

8 Mar

ภูมิใจนำเสนอ…หาดเจ้าสำราญ


ท้องทะเลสีครามอันกว้างใหญ่ทอดตัวยาวไกลสุดลูกหูลูกตา มองเห็นเพียงผืนน้ำจรดผืนฟ้า ลมทะเลพัดพาเกลียวคลื่นมากระทบฝั่งระลอกแล้วระลอกเล่า ผู้คนไม่พลุกพล่าน รถราไม่ขวักไขว่ บรรยากาศโดยรอบเงียบสงบดีจริงๆ พวกเราชักชวนกันเดินเล่นบนหาดทราย แดดอุ่นจัดจนไม่เหลือไอเย็นจากสายลมหนาวแต่ความสุขกลับเบ่งบานจนล้นทะลักออกมาทางแววตาและบนใบหน้าที่เปื้อนรอยยิ้ม ตัวอักษรบนแนวกันคลื่นกัดเซาะระบุชัดเจนว่า ที่นี่ คือ หาดเจ้าสำราญ

ในอดีตหาดเจ้าสำราญมีชื่อเรียกว่า "ค่ายหลวงบางทะลุ"
เนื่องจากตั้งอยู่ที่ตำบลบางทะลุ
พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงใช้เป็นที่ประทับพักฟื้นจากพระอาการประชวร ค่ายหลวงแห่งนี้มีลักษณะเป็นเวิ้งอ่าว
ปากคลองบางทะลุลงไปทางทิศใต้มีหาดทรายดีพอสมควร
กำลังลมดีและที่สำคัญน้ำทะเลมีแร่ธาตุไอโอดีนสูงกว่าที่อื่นๆ 
พระองค์จึงทรงโปรดให้สร้างพลับพลาที่ประทับ ณ หาดเจ้าสำราญเมื่อปี
พ.ศ.2460 ต่อมาจึงทรงเปลี่ยนชื่อเรียกค่ายหลวงบางทะลุเป็น
"ค่ายหลวงหาดเจ้าสำราญ" ด้วยมีพระราชดำริว่านามเดิมไม่ไพเราะ

รัชกาลที่ 6
ทรงโปรดสรงน้ำทะเลและทรงโปรดการปั้นทรายเป็นเมืองทรายมีคูเมืองและลำธารคดเคี้ยว เมืองทรายนี้เองที่ดลพระราชหฤทัยให้พระองค์ท่านมีพระราชดำริให้เริ่มสร้างดุสิตธานี
รากฐานเมืองประชาธิปไตยให้แก่พสกนิกรชาวสยาม

เนื่องจากปัญหาการขาดแคลนน้ำจืดที่ไม่สามารถแก้ไขได้ประกอบกับการคมนาคมที่ไม่สะดวก
พระองค์จึงทรงโปรดให้ย้ายพระราชฐานจากค่ายหลวงหาดเจ้าสำราญไปอยู่ที่หาดชะอำและพระราชทานนามใหม่ว่า "พระราชนิเวศน์มฤคทายวัน"
หาดเจ้าสำราญจึงเป็นเพียงชื่ออนุสรณ์พระตำหนักประทับร้อนหาดเจ้าสำราญนับแต่นั้นมา

ปัจจุบันหาดเจ้าสำราญเป็นชายหาดที่เงียบสงบ ชายหาดแห่งนี้มีทรายถูกพัดมาทับถมกันมากขึ้นเรื่อยๆ จึงมีทรายที่ละเอียดมากในส่วนของต้นหาด มีสัตว์ทะเลอุดมสมบูรณ์ ยังคงเห็นปูลม ปูเสฉวนวิ่งเล่นอยู่บนหาดทรายอย่างสำราญใจ บริเวณใกล้เคียงมีหมู่บ้านชาวประมง เป็นสวรรค์อีกแห่งหนึ่งของนักท่องเที่ยวที่นิยมความเป็นส่วนตัวและมองหามุมสงบในโลกแห่งการพักผ่อนที่แท้จริง


รอยยิ้มเบิกบานริมหาดเจ้าสำราญ

แผนที่ท่องเที่ยว จ.เพชรบุรี


รอยเท้าของฉันบนผืนทรายแห่งชายหาดเจ้าสำราญอาจถูกเกลียวคลื่นสาดซัดกลบลบหายไปในพริบตา ไม่เหลือร่องรอยของผู้มาเยือนอย่างฉัน ความเบิกบานใจที่เกิดขึ้นในยามสายของวันนี้จะตราตรึงอยู่ในใจฉันไปตลอดกาล แดนดินถิ่นไทยนี้มีสถานที่แห่งความทรงจำอันน่าประทับใจอยู่มากมาย เป็นความทรงจำที่เกิดขึ้นกับครอบครัวอันเป็นที่รัก กับผู้คนต่างถิ่นที่หยิบยื่นมิตรไมตรีให้แก่กัน และความสุขความทรงจำในทุกสถานที่จะไม่มีวันถูกเกลียวคลื่นแห่งกาลเวลาลบเลือนไปจากใจฉัน

"หาดทรายขาวทอดยาวสุดตาหยั่ง

สนริมฝั่งสะบัดไกวในลมหนาว


ทรายละเอียดเบียดแน่นแสนวับวาว

วิเวกราวสวรรค์บนดินถิ่นอ่าวไทย


เกลียวคลื่นเกี่ยวกระหวัดรัดม้วนน้ำ
สายลมซ้ำกระหน่ำมาจากฟ้าใส
สาดซัดฝั่งฝากฝังรอยประทับใจ
ตราตรึงไว้ริมเวิ้งอ่าวเจ้าสำราญ"

-บันทึกไว้ ณ วันที่หัวใจเบิกบาน-

***อ่านเรื่องราว บันทึกกลางสายลมหนาว เล่าเรื่องเมืองเพชรบุรี (คลิ้กจากหัวข้อด้านล่าง)

แวะหาดปึกเตียนเยี่ยมเยียนนางผีเสื้อสมุทร

7 Mar
อากาศยามเช้าที่เพชรบุรีในช่วงกลางเดือนมกราคมยังคงหนาว
สองสาวตื่นแต่เช้าไปซ้อมวิ่ง ลมเย็นๆพัดมาปะทะจนฉันต้องหยิบแจ็กเก็ตมาสวมทับ
พระอาทิตย์ยังคงงัวเงียอยู่ภายใต้ผ้าห่มฟ้า
ฉันสูดอากาศสดชื่นเข้าไปเต็มปอด ดูนกน้อยโผบินออกหากินแต่เช้าตรู่
ครอบครัวเราตื่นกันตั้งแต่เช้ามืดก่อนพระอาทิตย์จะตื่นเสียอีก
เพื่อมาออกกำลังกาย ฉันเป็นคนสุดท้ายในครอบครัวที่หันมาออกกำลังกายตอนเช้า
หลังจากร่างกายสดชื่นกระปรี้กระเปร่าแล้วพระอาทิตย์จะโผล่หน้ามายิ้มรับเสมอ

หลังจากเสร็จสิ้นกิจวัตรประจำวันยามเช้าแล้ว พวกเราอาศัยสี่ล้อคันเล็กควบพาเราไปยังหาดเพชรก่อนที่จะแวะหาดปึกเตียน หาดเพชรเป็นชายหาดที่อยู่ระหว่างหาดชะอำกับหาดปึกเตียน ก่อนถึงชายหาดมีหมู่บ้านจัดสรรติดถนนแต่กลับรกร้าง ชายหาดก็ไม่กว้างนัก มีร้านอาหารอยู่เพียงร้านเดียว บรรยากาศดูวังเวงเหลือเกิน สองสาวลงไปกระโดดโลดเต้นถ่ายภาพตามที่วัยรุ่นสมัยนี้เขานิยมกัน เสียงหัวเราะอย่างสนุกสนานช่วยให้บรรยากาศที่เงียบวังเวงดูครื้นเครงขึ้น จากนั้นทัวร์แวะชมก็อำลาหาดเพชรมุ่งหน้าต่อไปยังหาดใกล้เคียง


หาดเพชรที่เงียบสงบ


กระโดดท่านี้ มีแต่ลูกลิงของฉัน

หาดปึกเตียนอยู่ในท้องที่ตำบลปึกเตียนใกล้กับหาดเพชร  เดิมเป็นหมู่บ้านในเขต ต.หนองจอก อ.ท่ายาง
จ.เพชรบุรี ได้แยกออกจาก ต.หนองจอกตั้งเป็น ต.ปึกเตียนในปี พ.ศ.2525
และได้รับการยกฐานะเป็นองค์การบริหารส่วนตำบลปึกเตียน เมื่อวันที่ 23
กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2540 แต่เดิมชาวบ้านเรียก "หาดปึกเตียน" ว่า "หาดตะกาด"
ซึ่งเป็นพื้นที่ชายทะเลที่มีสภาพแห้งแล้ง ดินเค็ม ไม่มีต้นไม้
ต่อมามีชาวบ้านอพยพเข้ามาตั้งบ้านเรือนอาศัยอยู่เพียงกลุ่มเล็กๆในสภาพแวดล้อมที่โล่งเตียนและแห้งแล้ง
จึงเป็นที่มาของชื่อบ้านปึกเตียนและหาดปึกเตียนในเวลาต่อมา



หาดปึกเตียนในปัจจุบันกับที่พักสวยๆ

อีกมุมสวยของที่พักริมหาดปึกเตียน

หาดปึกเตียนอยู่ห่างจากหาดเจ้าสำราญไปทางใต้ประมาณ 7 กิโลเมตร เป็นหาดทรายขาวสะอาดแต่ไม่ได้กว้างจนสุดลูกหูลูกตา สามารถเล่นน้ำได้
เอกลักษณ์สำคัญของหาดแห่งนี้ คือ
รูปปั้นตัวละครจากวรรณคดีไทยของบรมครูสุนทรภู่ เรื่อง พระอภัยมณี เพื่อนในวรรณคดีที่เราตั้งใจมาเยี่ยมเยือน เธอยังคงมีสีหน้าเศร้าสร้อย พร่ำเรียกเพรียกหาพระอภัยมณีอยู่ชั่วนาตาปี ใครหนอช่างคิดนำฉากรักระทมของนางผีเสื้อสมุทรกับพระอภัยมณีมาเป็นจุดสนใจของหาด ทำให้เวิ้งอ่าวเงียบสงบดูมีสีสันขึ้นมาถนัดตา นอกจากนั้นยังมีรูปปั้นเจ้าแม่กวนอิมประดิษฐานอยู่บนเกาะเล็กๆทางซ้ายมือของนางผีเสื้อสมุทรด้วย


นางผีเสื้อสมุทร…สัญลักษณ์หาดปึกเตียน

มุขขำๆกับภาพถ่ายที่หาดปึกเตียน


หาดชื่อแปลกที่มีรูปปั้นของตัวละครพลัดถิ่นแห่งนี้มีนักท่องเที่ยวมาเยือนไม่ขาดสาย ที่พักสวยๆผุดขึ้นสลอนราวดอกเห็ดต่างจากสภาพดั้งเดิมที่โล่งเตียนแห้งแล้ง หรือนี่จะเป็นเพราะอิทธิฤทธิ์ของนางผีเสื้อสมุทรที่ช่วยยื้อยุดฉุดแขกให้มาแวะเวียนชมนาง จะมีก็แต่เพียงพระอภัยมณีเท่านั้นที่ไม่ยอมใจอ่อนปล่อยให้นางผีเสื้อสมุทรต้องยืนออดอ้อนเรียกหาสามีสุดที่รักของเธอเช่นนี้ตลอดไป

***อ่านเรื่องราว บันทึกกลางสายลมหนาว เล่าเรื่องเมืองเพชรบุรี (คลิ้กจากหัวข้อด้านล่าง)